หน่วยที่ 8


หน่วยที่ 8 การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศกับการเรียนการสอน

1.แหล่งข้อมูลการสืบค้นบนเครือข่ายอินเตอร์เน็ต
 การสืบค้นข้อมูลบนอินเตอร์เน็ต
                ในยุคแห่งเทคโนโลยีมีข้อมูลมากมายมหาศาลที่จะให้เราสืบค้น การที่จะค้นหาข้อมูลจำนวนมากมายอย่างนี้เราไม่อาจจะกดคลิกเพื่อค้นหาข้อมูล ให้พบได้ง่ายๆ จึงจำเป็นจะต้องอาศัยการค้นหาข้อมูลด้วยเครื่องมือค้นหาที่เรียกว่า Search Engine เข้า มาช่วยเพื่อความสะดวกและรวดเร็ว เว็บไซต์ที่ให้บริการค้นหาข้อมูลมีมากมายหลายที่ทั้งของคนไทยและต่างประเทศ และในที่นี้จะขอยกตัวอย่างวิธีการการสืบค้นข้อมูลบนอินเตอร์เน็ต 5 วิธี ได้แก่
 1. การสืบค้นข้อมูล โดยใช้ www.google.com
 •  เข้าไปที่ www.google.com
•  พิมพ์คำที่ต้องการลงไป ตัวอย่าง พิมพ์คำว่า ความหมายของอินเตอร์เน็ต ลงไปในช่องค้นหา และเมื่อพิมพ์คำที่ต้องการค้นหาเสร็จแล้วให้กด ค้นหาด้วยGoogle
•  การแสดงผลบนหน้าจอจะปรากฏรายชื่อเว็บไซต์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับคำที่เราค้นหา โดยเรียงลำดับจากคำที่ตรงกับความต้องการมากที่สุด
•  เราสามารถเลือกเว็บไซต์ใดเว็บไซต์หนึ่งที่เราต้องการ แล้วเปิดดูได้ทันที หากไม่ตรงกับที่ต้องการก็คลิกเมาส์ไปที่ปุ่ม Back เพื่อกลับไปที่หน้าเดิมอีกครั้งแล้วเลือกเว็บไซต์อื่นๆใหม่
 2. การสืบค้นรูปภาพ โดยใช้ www.google.com
•  เข้าไปที่ www.google.com
• กดที่เปลี่ยนหมวดหมู่บริเวณด้นบนซ้ายมือ จาก เว็บ เป็น รูปภาพ
•  พิมพ์คำที่ต้องการลงไป ตัวอย่าง พิมพ์คำว่า คอมพิวเตอร์ ลงไปในช่องค้นหา และเมื่อพิมพ์คำที่ต้องการค้นหาเสร็จแล้วให้กดปุ่ม ค้นหาภาพ
•  การแสดงผลบนหน้าจอจะปรากฏรูปภาพจากเว็บไซต์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับคำที่เราค้นหา โดยเรียงลำดับจากคำที่ตรงกับความต้องการมากที่สุด
•  เราสามารถเลือกดูรูปภาพจากเว็บไซต์ใดเว็บไซต์หนึ่งที่เราต้องการได้ และหากไม่ตรงกับที่ต้องการก็คลิกเมาส์ไปที่ปุ่ม Back เพื่อกลับไปที่หน้าเดิมอีกครั้งแล้วเลือกรูปภาพอื่นๆใหม่
3. การสืบค้นข้อมูล ในรูปแบบ Index Directory
•  วิธีการค้นหาข้อมูลแบบ Index ข้อมูลจะมีความเป็นระเบียบเรียบร้อยมากกว่าการค้นหาข้อมูลด้วยวิธี Search Engine การค้นหาข้อมูลแบบ Index จะมีการคัดแยกข้อมูลออกมาเป็นหมวดหมู่ และจัดแบ่งแยก Web site ต่างๆออกเป็นประเภท
•  วิธีการใช้งาน เราสามารถที่จะคลิกเลือกข้อมูลที่ต้องการจะดูได้เลยใน Web Browser
•  จาก นั้นหน้าจอก็จะแสดงรายละเอียดของหัวข้อปลีกย่อยที่ลึกลงมาอีกระดับหนึ่ง ปรากฏขึ้นมาให้เราเลือกอีก ส่วนจะแสดงออกมามากน้อยเพียงใดก็ขึ้นอยู่กับขนาดของฐานข้อมูลในIndex ว่าในแต่ละประเภทจัดรวบรวมเก็บเอาไว้มากน้อยเพียงใด
•  เมื่อเราเข้าไปถึงฐานข้อมูลประเภท ย่อยที่เราสนใจแล้ว จะมีการแสดงรายชื่อของเอกสารที่เกี่ยวข้องกับ ประเภทของข้อมูลนั้นๆออกมา หากเราสนใจเอกสารใดหรือต้องการอยากที่จะชม ก็สามารถคลิกลงไปยัง Link เพื่อขอเชื่อต่อทางไซต์ก็จะนำเอาผลของข้อมูลดังกล่าวออกมาแสดงผลทันที
•  นอกจากนี้เว็บไซต์ที่แสดงออกมานั้นทางผู้ให้บริการยังได้เรียบเรียงเว็บไซต์ โดยนำเอาเว็บไซต์ที่มีความเกี่ยวข้องมากที่สุดไว้ตอนบนสุดของรายชื่อที่แสดง
 4. การสืบค้นข้อมูล ในรูปแบบ ห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์
•  ห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์ คือ ห้องสมุดที่สามารถใช้บริการผ่านอินเตอร์เน็ตได้ ซึ่งจะแตกต่างจากห้องสมุดแบบธรรมดาทั่วไป
•  ข้อดีของ ห้องสมุดอีเล็กทรอนิกส์ คือ การค้นหาข้อมูลทำได้สะดวก รวดเร็ว โดยสามารถค้นหาได้จากชื่อเรื่อง หัวเรื่อง ชื่อหนังสือ ชื่อผู้แต่ง เลขมาตราฐานสากลประจำหนังสือ (ISBN) เลขมาตราฐานสากลประจำวารสาร (ISSN) สำนักพิมพ์ ปีที่พิมพ์ เป็นต้น ซึ่งการค้นคว้าในห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์ สามารถระบุข้อมูลหรือเงื่อนไขเฉพาะได้ชัดเจน เช่น ต้องการทราบผลงานของสุนทรภู่ เฉพาะเจาะจงแต่ นิราศ ก็สามารถระบุเงื่อนไขที่เกี่ยวข้องกับชื่อผู้แต่งได้ คือ สุนทรภู่ ระบุหัวข้อเรื่อง คือ นิราศ ระบบจะประมวลผลผลงานสุนทรภู่เฉพาะที่เป็นนิราศเท่านั้น 
 5. การสืบค้นข้อมูลแผนที่ออนไลน์ ในรูปแบบ Google Maps
•  Google Maps คือ บริการแผนที่ออนไลน์จาก Google แผนที่ออนไลน์นี้สามารถใช้งานได้หลายอย่าง เช่น หาตำแหน่งพิกัด ตรวจสอบสภาพการจราจร ภาพถ่ายดาวเทียม ภาพถ่ายจากอากาศยานที่มีความละเอียดของภาพสูง บริการค้านหาสถานที่ห้างร้านต่างๆ บริการค้นหาเส้นทางจากสถานที่ต้านทางไปยังสถานที่ปลายทาง บริการภาพถ่ายจากถนนในเมืองสำคัญๆ ที่ทำให้ผู้ใช้เห็นสภาพแวดล้อมและอาคารบ้านเรือนริมสองฝั่งถนน เป็นต้น 
•  นอกจากนี้ Google Maps ประเทศไทยยังแสดงข้อมูลที่เฉพาะเจาะจงสำหรับผู้ใช้งานคนไทยในกรอบบริเวณด้านซ้ายมือ ได้แก่ รายชื่อเมืองยอดนิยม แผนที่ยอดนิยม และ Link สำหรับเพิ่มรายชื่อธุรกิจของเราบน Google Maps
•  วิธีการใช้งาน คือ เปลี่ยนหมวดหมู่ ของ Google เป็น Maps
•  จากนั้นพิมพ์คำที่ต้องการค้นหาลงไปในช่องค้นหา ตัวอย่างเช่น พิมพ์คำว่า กรุงเทพ แล้วกด ค้นหาแผนที่
•  หน้าจอจะแสดงผล พิกัดของกรุงเทพบนแผนที่ประเทศไทย และด้านซ้ายมือจะเป็นสถานที่สำคัญ สถานที่ยอดนิยม ฯลฯ ตามที่ได้กล่าวไปแล้วข้างต้น
 2.การสืบค้นข้อมูลจากอินเทอร์เน็ต
          1.  เว็บไซต์ (Website) หมายถึง ที่ตั้งเครือข่ายข้อมูลที่เชื่อมโยงติดต่อกันได้ทั่วทุกมุมโลกโดยการค้นหา ข้อมูลในแต่ละเว็บไซต์จะต้องทราบชื่อเว็บไซต์ที่เราต้องการหาข้อมูลนั้น ๆ หรือสามารถค้นหา
เว็บไซต์ที่เราต้องการค้นคว้าผ่านทางเว็บไซต์ที่เปิดบริการให้ค้นคว้าหา ข้อมูลต่าง ๆ เป็นภาษาอังกฤษหรือภาษาไทยได้ที่ www.google.com  www.yahoo.com  www.sanook.com  เป็นต้น
                    1.1  การค้นหาข้อมูลในเว็บไซต์ตามคำหลัก  จะต้องอาศัยการประมวลข้อมูลที่ต้องการค้นหาออกมาเป็นคำหลัก  (keyword)  ให้ได้ก่อน
                    1.2  การสืบค้นข้อมูลในเว็บไซต์ตามหมวดหมู่ที่ทางเว็บไซต์ได้แบ่งหมวดหมู่ไว้ อย่างชัดเจนทำให้สะดวกมากขึ้น  โดยการจัดหมวดหมู่ของแต่ละเว็บไซต์จะแตกต่างกัน
 2.  ห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์  ห้องสมุดประเภทนี้จะแตกต่างจากห้องสมุดทั่วไปเพราะสามารถใช้บริการผ่านทาง อินเทอร์เน็ต  การค้นหาข้อมูลสะดวก  รวดเร็ว  โดยสามารถค้นคว้าได้จากชื่อเรื่อง  หัวเรื่อง ชื่อหนังสือ  ชื่อผู้แต่ง  เลขมาตรฐานสากลประจำหนังสือ (ISBN)  เลขมาตรฐานสากลประจำวารสาร (ISSN)  สำนักพิมพ์  ปีที่พิมพ์  เป็นต้น  ซึ่งการค้นคว้าในห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์สามารถระบุข้อมูลหรือเงื่อนไขเฉพาะ ได้ชัดเจน  เช่น  ต้องการทราบผลงานของสุนทรภู่  เฉพาะเกี่ยวกับนิราศก็สามารถระบุเงื่อนไขที่เกี่ยวกับชื่อผู้แต่ง  คือ  สุนทรภู่  และระบุหัวข้อเรื่อง  คือ  นิราศ  ระบบสามารถประมวลผลงานของสุนทรภู่เฉพาะเรื่องที่เป็นนิราศเท่านั้น
          3.  ฐานข้อมูลออนไลน์  ฐานข้อมูล  คือ  แหล่งจัดเก็บข้อมูลหัวข้อใดหัวข้อหนึ่ง  หรือหมายหัวข้อที่รวบรวมมาจากแหล่งข้อมูลหลาย ๆ แหล่ง  จำนวนข้อมูลในฐานข้อมูลมักมีมากมายนับหมื่น แสน หรือล้านรายการ
          ออนไลน์ (online)  เป็นคำทับศัพท์  หมายถึง  การเชื่อมโยงผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต
          การสืบค้นข้อมูลจากฐานข้อมูลออนไลน์ให้ได้ตรงตามความต้องการ  อาจใช้เทคนิคง่าย ๆ เข้าช่วย  ดังนี้
                    1.  ทำความเข้าใจความหมายของคำเชื่อมที่สำคัญ 3 คำ  คือ
                              "และ"                    ใช้เพื่อจำกัดขอบเขตของข้อมูลให้แคบลง
                              ตัวอย่าง  ระบุว่า  "ว.วินิจฉัยกุล"  และ  "เรื่องสั้น"  ข้อมูลที่ได้จะเน้นข้อมูลของ ว.วินิจฉัยกุล  เฉพาะที่เกี่ยวกับเรื่องสั้นเท่านั้น  จะไม่ปรากฎเรื่องราวด้านอื่น ๆ เลย
                              "หรือ"                    ใช้เพื่อเพิ่มขอบเขตของข้อมูลให้กว้างขึ้น
                              ตัวอย่าง  ระบุว่า  "ว.วินิจฉัยกุล"  หรือ  "ทมยันตี"  ข้อมูลที่ได้จะเน้นข้อมูลที่เกี่ยวกับ  ว.วินิจฉัยกุล  และทมยันตี  ทั้งหมดที่มีอยู่ในฐานข้อมูลนั้น
                              "ไม่"                       ใช้เพื่อลดขอบเขตของข้อมูล
                              ตัวอย่าง  ระบุว่า  "ว.วินิจฉัยกุล"  ไม่  "ประวัติ"  ข้อมูลที่ได้จะเน้นเรื่องราวของ  ว.วินิจฉัยกุลทุกด้าน  จะไม่มีเรื่องเกี่ยวกับประวัติชีวิตของ ว.วินิจฉัยกุล  เลย
                    2.  ใช้สัญลักษณ์  หากไม่ทราบวิธีสะกดคำที่ถูกต้อง
                              เครื่องหมายคำถาม ?                    ใช้แทนอักษร 1 ตัว
                              เครื่องหมายดอกจัน*                    ใช้แทนอักษรหลายตัว
                       
ตัวอย่าง  ต้องการค้นเรื่องวิญญาณ  แต่ไม่แน่ใจหรือไม่ทราบว่าตัวสะกดเป็น ณ หรือ น ให้พิมพ์ "วิญญา?"
                              ต้องการค้นเรื่อง  ปัญจวัคคีย์  แต่ไม่แน่ใจตัวการันต์ให้พิมพ์  ปัญจวัคคี*
                    3.  ฐานข้อมูลอีริก (ERIC database)  ซึ่งเป็นฐานข้อมูลด้านการศึกษาให้ใช้คำว่า  NEAR  สำหรับการค้นที่รวมคำที่ใกล้เคียงกับคำที่ต้องการด้วย
3.คำแนะนำการใช้ google
1.Google ใช้ and (และ) ในประโยคเสมอ เช่น ค้นหา harvest moon back to nature สำหรับ Google จะค้นหาแบบแยกคำ harvest AND moon AND...
2.การใช้ or (หรือ) คือให้หาข้อมูลมากขึ้นจากคำ A และ B นำผลที่ได้มารวมกัน พิมพ์ or ด้วยตัวใหญ่ระหว่างคำ เช่น vacation london OR paris คือหาทั้งในลอนดอนและปารีส
3.Google จะละคำทั่วไป (the, to, of) และอักษรเดี่ยว เพราะทำให้ค้นหาช้าลง แต่ถ้าคำนั้นช่วยให้หาข้อมูลง่ายขึ้นก็ใช้เครื่องหมาย + ข้างหน้า (เว้นวรรคก่อน) เช่น back +to nature
4.กันขอบเขตการค้นหาให้เล็กลงได้ด้วยการใช้ Advanced Search (หรือการค้นหาแบบพิเศษ ใน Google ไทย)
5.Google สามารถตัดคำพ้องรูปได้โดยใช้เครื่องหมาย - ช่วย โดยการนำไปอยู่คำที่จะตัด เช่น bass มี 2 ความหมายคือเกี่ยวกับปลาและดนตรี จะตัดที่มีความหมายเกี่ยวกับดนตรีออก ก็พิมพ์ bass -music
6.การค้นหาแบบทั้งวลี (คือค้นหาทั้งกลุ่มคำ) ให้ใช้เครื่องหมาย "..." เช่น "Breath of fire IV"
7.Google แปลเว็บภาษาอิตาเลียน, ฝรั่งเศส, สเปน, เยอรมัน และโปรตุเกส เป็นภาษาอังกฤษได้ โดยคลิก "Translate this page" ด้านข้างชื่อเว็บ
8.สามารถหาไฟล์ในรูปแบบอื่นที่ไม่ใช่ HTML ได้ อาทิ Adobe Portable Document Format (นามสกุลของไฟล์ pdf) Text (นามสกุลของไฟล์ ans หรือ txt) วิธีใช้ filetype:นามสกุลของไฟล์ เช่น "Chrono Cross" filetype:pdf หมายความว่าเอกสารของ Chrono Cross ที่เป็น PDF ทั้งนี้ยังมีความสามารถดูไฟล์เหล่านั้นในรูปแบบ HTML ได้ โดยคลิก View as HTML (หรือ รูปแบบ HTML ใน Google ภาษาไทย)
9..สามารถเก็บ Cached ของเว็บที่จะเข้าชมไว้ได้ โดยคลิกที่ Cached (หรือ ถูกเก็บไว้ ใน Google ภาษาไทย) ช่วยให้สามารถเข้าบางเว็บที่โดนลบไปแล้วโดยข้อมูลที่ได้เป็นข้อมูลก่อนถูกลบ (ใหม่สุดที่มันจะมีได้)
10.Google สามารถค้นหาหน้าที่คล้ายกัน โดยคลิก Similar pages (หรือ หน้าที่คล้ายกัน ใน Google ภาษาไทย) จะค้นหาข้อมูลที่คล้ายๆ กันให้มากมายในเวลาที่รวดเร็วโดยไม่ต้องห่วงเรื่อง keyword
11.ค้นหา link ที่เชื่อมไปเว็บนั้นได้ วิธีใช้ link:ชื่อ URL เช่น link:www.google.com
12.ค้นหาเว็บจำเพาะเจาะจงได้ เช่น ต้องการหาเว็บเกี่ยวกับเข้ามหาวิทยาลัย Stanford ให้พิมพ์ admission site:www.stanford.edu
13.มีบริการการค้นหาด่วน โดยนำเว็บที่อยู่ลำดับแรกของการค้นหาส่งให้เลย เช่น ต้องการค้นหาเว็บมหาวิทยาลัย Stanford ด่วน พิมพ์ Stanford แล้วกด I"m Feeling Lucky (หรือ ดีใจจัง ค้นแล้วเจอเลย ใน Google ภาษาไทย)
4.ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ (E-mail)
               ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์เป็นวิธีการติดต่อสื่อสารที่เกิดจากการเชื่อมต่อ เครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่นิยมใช้วิธีหนึ่ง ซึ่งนอกจากจะมีข้อดีแล้วยังมีข้อจำกัดบางอย่างที่ควรศึกษาก่อน การใช้งาน เพื่อให้สามารถตัดสินใจและใช้งานได้อย่างถูกต้อง                                                                               
ความสำคัญและความหมายของไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์
                ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ เป็นเทคโนโลยีการสื่อสารอย่างหนึ่งที่เกิดจากการเชื่อมต่อเครือข่ายคอมพิวเตอร์ นิยมเรียกสั้นๆ ว่า อีเมล์ มาจากภาษาอังกฤษคำว่า อิเล็กทรอนิกส์เมล์(E-mail = Electronic Mail) หรือเรียกว่า จดหมายอิเล็กทรอนิกส์มีลักษณะการรับและส่งข้อมูลเหมือนกับการติดต่อสื่อสารประเภทจดหมาย คือ มีการพิมพ์ข้อความผ่านทางหน้าจอคอมพิวเตอร์แล้วแปลงเป็นสัญญาณอิเล็กทรอนิกส์แทนการเขียนข้อความลงในกระดาษแล้วใช้การส่งข้อมูลผ่านทางระบบเครือข่ายจากเครื่องคอมพิวเตอร์หนึ่งไปยัง เครื่องคอมพิวเตอร์อีกเครื่องหนึ่งแทนการส่งจดหมายผ่านทางไปรษณีย์
ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ยังสามารถใช้ในเครือข่ายคอมพิวเตอร์ภายในบริษัทหรือสำนักงานโดยใช้โปรแกรมไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ที่สร้างขึ้นเพื่อใช้เฉพาะภาย ในบริษัทหรือสำนักงาน ซึ่งจะเชื่อมต่อกับระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตหรือไม่ก็ได้
        ที่อยู่ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์
ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์เป็นบริการอย่างหนึ่ง ของระบบเครือข่ายซึ่งนิยมใช้กันมากในปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มบุคคลที่ใช้อินเทอร์เน็ต เกือบ 100 เปอร์เซ็นต์จะมีไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์เป็นของตนเองด้วยเหตุนี้ผู้ใช้บริการไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์จึงต้องมีที่อยู่ของตนเองและรู้ที่อยู่ของบุคคลที่ต้องการติดต่อสื่อสาร เมื่อต้องการใช้บริการไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ ผู้ใช้ต้องสมัครหรือลงทะเบียนกับเว็บไซต์ที่ให้บริการเพื่อจะได้ที่อยู่สำหรับติดต่อทางไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ เรียกว่า อีเมล์แอดเดรส (E-mail Address) ซึ่งแบ่งออกได้เป็น 4 ส่วน คือ ชื่อ แอท โดเมนเนม และรหัส
ชื่อหรือยูเซอร์เนม (User Name) คือ ชื่อของสมาชิกที่ใช้สมัครหรือลงทะเบียน อาจเป็นชื่อจริง ชื่อเล่น ชื่อบริษัท หรือชื่อสมมุติก็ได้
แอท คือ เครื่องหมายหรือสัญลักษณ์ มีลักษณะเป็นตัวอักษรภาษาอังกฤษตัวเอที่มีวงกลมล้อมรอบ @ ซึ่งมาจาก แอทซาย (at sing)
ในภาษาอังกฤษ
โดเมนเนม (Domain Name) คือ ที่อยู่หรือชื่อของเว็บไซต์ที่ให้บริการทางไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ที่สมัครเป็นสมาชิกไว้
เพื่ออ้างเมล์เซิร์ฟเวอร์ที่ให้บริการ
รหัส คือ ข้อมูลบอกประเภทขององค์กรและประเทศของเว็บไซต์ที่ให้บริการทางไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ เช่น .com หมายถึง
องค์การธุรกิจการค้า หรือ .co.th หมายถึง องค์การธุรกิจการค้าในประเทศไทย เป็นต้น
       ข้อดีและข้อจำกัดของไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์
ข้อดีของไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์
ประหยัดเวลาและค่าใช้จ่าย มากกว่าการติดต่อสื่อสารด้วยประเภทอื่นๆ เนื่องจากสามารถรับหรือส่งข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว
สามารถส่งข้อมูลในรูปแบบที่หลากหลาย เช่น ข้อมูลตัวอักษร ภาพ เสียง และภาพเคลื่อนไหว
ไม่จำกัดเวลา ระยะทาง หรือสถานที่ในการติดต่อสื่อสาร
ผู้ใช้สามารถเลือกใช้ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ในเวลาและสถานที่ใดก็ได้เพียงแต่ต้องมีเครื่องคอมพิวเตอร์ที่เชื่อมต่อระบบเครือข่ายกับ
เครื่องคอมพิวเตอร์ที่ต้องการส่งหรือรับข้อมูลนั้น
ไม่จำเป็นต้องเปิดหรือใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ตลอดเวลาเพื่อรอรับข้อมูล เนื่องจากข้อมูลที่ได้รับจะถูกเก็บไว้ในเมล์เซิร์ฟเวอร์
เมื่อผู้ใช้ต้องการดูข้อมูลก็เพียงเชื่อมโยงไปยังเมล์เซิร์ฟเวอร์นั้น
ใช้เครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องใดก็ได้ในการติดต่อสื่อสาร ไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องเดิม
สามารถส่งเมล์ไปหาผู้รับได้หลายคนพร้อมๆ กัน ในกรณีที่ข้อมูลที่ต้องการส่งเป็นข้อมูลเดียวกัน เช่น ข้อมูลแจ้งกำหนดการประชุม
กฎระเบียบในการใช้ห้องคอมพิวเตอร์ ผู้ส่งสามารถส่งข้อมูลได้ทีละหลายๆ คนในครั้งเดียว ไม่จำเป็นต้องส่งข้อมูลไปทีละคน
เก็บข้อมูลที่ส่งได้ตามความต้องการ โดยอาจเก็บไว้ในเมล์เซิร์ฟเวอร์นั้นๆ หรือดาวน์โหลดมาไว้ที่เครื่องคอมพิวเตอร์ของตนเอง
ข้อมูลที่ได้มีความเป็นส่วนตัว เนื่องจากผู้ใช้จะมีรหัสส่วนตัวในการใช้บริการไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์
ผู้รับสามารถนำข้อมูลที่ได้มาแก้ไขหรือนำข้อมูลนั้นไปใช้ต่อได้ ไม่ต้องพิมพ์ข้อมูลนั้นใหม่
โดยข้อมูลที่ได้รับทางไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์สามารถนำมาจัดทำในรูปแบบเอกสารสิ่งพิมพ ์
มีการแจ้งรายละเอียดและบันทึกข้อมูลได้ตามความต้องการของผู้ใช้ เช่น จำนวนข้อมูลทั้งหมด ข้อมูลใดที่เปิดใช้งานแล้วหรือยัง
ไม่ได้เปิดใช้งาน ใครเป็นผู้ส่ง และส่งข้อมูลมาในเวลาใด
 5.กระดานข่าวอิเล็กทรอนิกส์
กระดานข่าวอิเล็กทรอนิกส์ (อังกฤษ: Bulletin Board System) หรือ บีบีเอส (BBS) เป็นระบบคอมพิวเตอร์ที่รันซอฟต์แวร์ที่อนุญาตให้ผู้ใช้หลาย ๆ คน ใช้คอมพิวเตอร์และโปรแกรมเทอร์มินัลติดต่อเข้าไปในระบบ ผ่านทางโมเด็มและสายโทรศัพท์. โดยในระบบจะมีบริการต่าง ๆ ให้ใช้ เช่น ระบบส่งข้อความระหว่างผู้ใช้ (คล้าย จดหมายอิเล็กทรอนิกส์ใน อินเทอร์เน็ตปัจจุบัน แต่รับส่งได้เฉพาะภายในระบบเครือข่ายสมาชิกเท่านั้น) ห้องสนทนา บริการดาวน์โหลดซอฟต์แวร์ และกระดานแจ้งข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ เป็นต้น
บีบีเอสส่วนใหญ่เปิดให้บริการฟรี โดยสมาชิกจะสามารถเข้าใช้ระบบได้แต่ละวันในระยะเวลาจำกัด บีบีเอสมักจะดำเนินการในรูปของงานอดิเรกของผู้ดูแลระบบ หรือที่เรียกกันว่า ซิสอ็อป (SysOp จากคำว่า system operator)
บีบีเอสส่วนในเมืองไทยมีขนาดเล็ก มีคู่สายเพียง 1 หรือ 2 คู่สายเท่านั้น บางบีบีเอสยังอาจเปิดปิดเป็นเวลาอีกด้วย บีบีเอสขนาดใหญ่ที่ได้รับความนิยมมากในสมัยก่อนได้แก่ ManNET ซึ่งมีถึง 8 คู่สายและเปิดบริการตลอด 24 ชม. ManNET ดำเนินการโดยแมนกรุ๊ป ผู้จัดทำนิตยสารคอมพิวเตอร์รายใหญ่ในยุคนั้น. นอกจากนี้ยังมีบีบีเอส CDC Net ของ กองควบคุมโรคติดต่อ (กองควบคุมโรค ในปัจจุบัน) ซึ่งเป็นบีบีเอสระบบกราฟิกรุ่นบุกเบิกของประเทศไทย
ในปัจจุบัน บีบีเอสมีบทบาทน้อยลงไปมาก เนื่องจากความแพร่หลายและข้อได้เปรียบหลายประการของ อินเทอร์เน็ต และ เวิลด์ไวด์เว็บ. ในประเทศญี่ปุ่น คำว่า บีบีเอส อาจจะใช้เรียกกระดานข่าวอิเล็กทรอนิกส์บนอินเทอร์เน็ตด้วย. แต่สำหรับเมืองไทยแล้ว นิยมเรียกกระดานข่าวเหล่านี้ว่า เว็บบอร์ด มากกว่า
6.ห้องสมุดแหล่งข้อมูล
ห้องสมุด  ถือเป็นหัวใจของการเรียนรู้ที่สำคัญในสังคมแห่งภูมิปัญญา  และสังคม แห่งการเรียนรู้  ผู้เรียนในสถานศึกษาจะต้องศึกษาค้นคว้าแสวงหาความรู้ด้วยตนเองอย่างต่อ เนื่อง  ห้องสมุดจึงเป็นแหล่งเรียนรู้ที่มีส่วนสำคัญในการจัดประสบการณ์ให้แก่ผู้ เรียนตามหลักสูตร  เปรียบเสมือนคลังความรู้ที่ช่วยพัฒนาผู้เรียนในทุก ๆ ด้านให้เป็นผู้รักการเรียน  และสนใจเรียนรู้   ตลอดชีวิต  เพื่อพัฒนาคนและสังคมให้สมบูรณ์แบบ
ห้องสมุดแหล่งข้อมูล
1.  ความหมายของห้องสมุด 
            คำว่า  “ห้องสมุด”  มีคำใช้อยู่หลายคำ  ในประเทศไทยสมัยก่อนเรียกว่า  “หอหนังสือ”  ห้องสมุดตรงกับภาษาอังกฤษว่า  Library  มาจากศัพท์ภาษาละตินว่า  Libraria  แปลว่าที่เก็บหนังสือ  
                ห้องสมุด  คือ  สถานที่รวบรวมสรรพวิทยาการต่างๆ  ซึ่งได้บันทึกไว้ในรูปของหนังสือ  วารสาร  ต้นฉบับตัวเขียน  สิ่งตีพิมพ์อื่น ๆ  หรือโสตทัศนวัสดุ  และมีการจัดอย่างมีระเบียบเพื่อบริการแก่ผู้ใช้  ในอันที่จะส่งเสริมการเรียนรู้และความจรรโลงใจตามความสนใจ  และความต้องการของ แต่ละบุคคล  โดยมีบรรณารักษ์เป็นผู้จัดหา  และจัดเตรียมให้บริการแก่ผู้ใช้ห้องสมุด                
2.  ความสำคัญของห้องสมุด 
            ความสำคัญของห้องสมุด  การศึกษาไทยตามแนวทางการปฏิรูปการศึกษามุ่งพัฒนาเยาวชนไทยให้  เก่ง  ดี  มีความสุขจากสังคมแห่งการเรียนรู้  ซึ่งเป็นสังคมคุณภาพที่สร้างคนให้ตระหนักถึงความสำคัญของการเรียนรู้  การสร้างนิสัยรักการอ่าน  และการแสวงหาแหล่งเรียนรู้  เพื่อนำความรู้ไปใช้ประโยชน์  ซึ่งปัจจุบันนี้เป็นยุคแห่งข้อมูลข่าวสาร  (Information  Age)  ผู้ที่สนใจจะศึกษาค้นคว้าให้เป็นผู้รอบรู้ในวิทยาการ  เชี่ยวชาญในงานวิชาชีพ  และทันสมัยต่อเหตุการณ์ต่าง ๆ  นั้น  จำเป็นต้องพึ่งพาห้องสมุดเป็นอย่างยิ่ง  ห้องสมุดเป็นปัจจัยสำคัญสิ่งหนึ่งที่จะบ่งชี้ถึงความมีมาตรฐาน        ด้านการศึกษาของสถาบันการศึกษาแห่งนั้น ๆ ความสำคัญของห้องสมุดในแต่ละสถาบันการศึกษานั้น  อาจสรุปได้ดังนี้ 
2.1  ห้องสมุดเป็นแหล่งรวมทรัพยากรสารสนเทศต่าง ๆ  เป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ของสถาบันการศึกษาที่ผู้ใช้สามารถศึกษาค้นคว้า ข้อมูลที่ต้องการได้ทุกสาขาวิชาที่มีการเรียนการสอน ในสถานศึกษา  เพื่อให้ครูอาจารย์ผู้สอน  และนักเรียนนักศึกษาเข้าค้นคว้าหาความรู้  เป็นสื่อกลาง        ในกระบวนการเรียนการสอน
            2.2  ห้องสมุดเป็นแหล่งที่ทุกคนสามารถเลือกศึกษาค้นคว้าได้โดยอิสระตามความ สนใจ ของแต่ละบุคคล  เป็นแหล่งภูมิปัญญาของสังคม  อาจเป็นการค้นคว้าเพิ่มเติมเพื่อให้รอบรู้เข้าใจยิ่งขึ้น ในเนื้อหาวิชา  หรือเรื่องที่กำลังศึกษาอยู่  หรือเลือกอ่านสิ่งที่ตนสนใจ  ซึ่งโรเจอร์  เบคอน  นักปราชญ์ชาวอังกฤษกล่าวไว้ว่า การอ่านทำให้เป็นคนเต็มคนก่อให้เกิดการศึกษาอย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง  ตอบสนองความต้องการในการแสวงหาความรู้เฉพาะบุคคล
            2.3  ห้องสมุดช่วยให้ผู้ใช้รู้จักใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์  คนเรานั้นหากมีเวลาว่างก็ควรจะทำอะไรสักอย่างเพื่อให้คุ้มค่าเวลา  การใช้เวลาว่างของแต่ละคนแตกต่างกัน  เช่น  บางคนชอบนั่งเล่นเฉยๆ  ชมธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรอบตัว  บางคนชอบดูหนัง  บางคนชอบฟังเพลง  บางคนชอบ เดินซื้อของหรือบางคนอาจชอบคุย  แต่การใช้เวลาว่างที่คุ้มค่าที่สุดอย่างหนึ่งก็คือ  การอ่านหนังสือ  หยิบหนังสือดี ๆ  สักเล่มให้กับชีวิตอ่านแล้วทำให้ปัญญางอกงาม  เกิดประโยชน์ต่อตนเองและสังคม และยังช่วยให้ผู้ใช้ห้องสมุดพอใจที่จะอ่านหนังสือต่างๆ โดยไม่รู้จักจบสิ้นจากเล่มหนึ่งไปสู่อีกเล่มหนึ่ง
            2.4  ห้องสมุดช่วยให้ผู้ใช้มีความรู้ทันสมัย  ทันเหตุการณ์อยู่เสมอ  เพราะผู้ใช้ห้องสมุด เป็นประจำจะเป็นผู้ที่รู้ข่าวความเคลื่อนไหวทั้งภายใน และภายนอกประเทศ
            2.5  ห้องสมุดช่วยให้ผู้ใช้มีนิสัยรักการอ่าน  การค้นคว้า  และใฝ่หาความรู้ด้วยตนเอง  เพราะห้องสมุดเป็นแหล่งบริการข้อมูล  ข่าวสาร  จัดให้มีบริการช่วยการค้นคว้า  และเสนอแนะการอ่านผู้ซึ่งสามารถขยายขอบเขตการอ่าน  การศึกษาค้นคว้าให้กว้างขวางออกไปได้มากขึ้นก่อให้เกิด การเรียนรู้อย่างไม่ มีที่สิ้นสุด  กระตุ้นให้รักการอ่านและการศึกษาค้นคว้า
            2.6  ห้องสมุดเป็นสมบัติของส่วนรวม  ซึ่งผู้ใช้บริการจะต้องรับรู้กฎระเบียบและปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด  รับรู้ถึงสิทธิและหน้าที่ที่พึงมีพึงปฏิบัติต่อส่วนรวม  จึงเป็นการปลูกฝังความเป็นประชาธิปไตยในตัวบุคคลเป็นอย่างดี
            2.7  ห้องสมุดช่วยให้ผู้ใช้ห้องสมุดมีความเพลิดเพลิน  ซึ่งนับว่าเป็นการพักผ่อนทางอารมณ์ของผู้ใช้ห้องสมุดวิธีหนึ่งด้วย
3.  ประโยชน์ของห้องสมุด
            ห้องสมุดเป็นแหล่งที่จัดหา  รวบรวมทรัพยากรสารนิเทศ  อันจะก่อให้เกิดประโยชน์ ต่อตัวบุคคลและสังคมในด้านต่าง ๆ  ดังต่อไปนี้
            1.  ด้านการเรียนการสอน
            2.  ด้านการค้นคว้าวิจัยเพื่อให้เกิดความรู้ใหม่
            3.  ด้านศิลปวัฒนธรรม  (สะสมความคิด  วัฒนธรรม  มรดกของชาติ)
            4.  ด้านการดำรงชีวิต
            5.  ด้านเศรษฐกิจ (ช่วยประหยัดในการค้นหาความรู้  สร้างอาชีพให้คน)
            6.  ใช้ข้อมูลในการตัดสินใจได้อย่างถูกต้องเหมาะสม   
4.  องค์ประกอบของห้องสมุด
            ห้องสมุดจะดำเนินการอยู่ได้ต้องมีองค์ประกอบดังต่อไปนี้
            4.1  สถานที่  สำหรับใช้จัดเก็บหนังสือและโสตทัศนวัสดุอุปกรณ์ต่างๆ  และใช้ดำเนินงานในการจัดให้บริการแก่ผู้ใช้ได้อย่างสะดวก  ห้องสมุดอาจเป็นเพียงส่วนหนึ่งของอาคารหรือเป็นอาคารเอกเทศก็ได้  ขึ้นอยู่กับจำนวนของทรัพยากรสารนิเทศ  วัสดุอุปกรณ์  และผู้ใช้บริการว่ามีมากน้อยเพียงใด
            4.2   ทรัพยากรห้องสมุด ต้องมีจำนวนมากพอและใหม่ทันสมัยอยู่เสมอ  คัดเลือกให้เหมาะสมกับผู้ใช้  มีการจัดเก็บไว้อย่างเป็นระบบ  ซึ่งจะช่วยให้ผู้ใช้สามารถเลือกใช้ค้นหาข้อมูลได้อย่างสะดวกรวดเร็ว  มีการดูแลรักษาให้อยู่ในสภาพดีและพร้อมที่จะใช้งานได้ตลอดเวลา
            4.3  บรรณารักษ์และเจ้าหน้าที่ห้องสมุดต้องมีบรรณารักษ์วิชาชีพเป็นผู้ดำเนินการ บริหารและจัดการให้การดำเนินงานห้องสมุดเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและมีเจ้า หน้าที่อื่น ๆ  เพียงพอที่จะช่วยในงานจัดหา  จัดเตรียมหนังสือให้ยืม  งานพิมพ์  งานจัดเก็บสิ่งพิมพ์  งานบริการ  และงานอื่น ๆ ของห้องสมุด
            4.4  งบประมาณ  ห้องสมุดต้องได้รับการจัดสรรงบประมาณเพียงพอสำหรับการจัดซื้อหนังสือและสื่อ อื่น ๆ วัสดุอุปกรณ์  เครื่องมือเครื่องใช้ต่างๆ  ในการจัดบริการของห้องสมุดและต้องได้รับงบประมาณอย่างต่อเนื่องเป็นประจำทุก ปี
5.  วัตถุประสงค์ของห้องสมุด 
            โดยทั่วไปการจัดบริการห้องสมุดจะมีวัตถุประสงค์โดยรวม  ดังนี้
            5.1  เพื่อการศึกษา  (Education)  การศึกษาในปัจจุบันมุ่งเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ  เพราะฉะนั้น การเรียนทุกระดับชั้นตั้งแต่อนุบาล  ประถมศึกษา  มัธยมศึกษาจนถึงอุดมศึกษา  ผู้เรียนจึงจำเป็นต้องศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติมจากทรัพยากรสารสนเทศต่าง ๆ  ในห้องสมุดเพื่อให้เกิดความรู้อย่างกว้างขวาง  ละเอียดลึกซึ้งยิ่งขึ้น  ส่วนการศึกษานอกระบบหรือผู้ที่ไม่ได้ศึกษาถึงขั้นสูงสุดก็สามารถใช้ห้องสมุด เป็นแหล่งศึกษาค้นคว้าเพื่อพัฒนาตนเอง  พัฒนาอาชีพได้ตลอดชีวิต  เพราะห้องสมุดเปรียบเสมือนห้องเรียนขนาดใหญ่ที่ผู้ใช้สามารถเข้าไปค้นหาคำ ตอบที่ต้องการได้
            5.2  เพื่อให้ความรู้  ข้อมูล  ข่าวสาร  (Information)  ห้องสมุดได้จัดเก็บทรัพยากรสารสนเทศประเภทหนังสือพิมพ์  วารสาร  นิตยสาร  ในทุกสาขาวิชาเพื่อให้ผู้ใช้ติดตามข่าว  ความเคลื่อนไหวของเหตุการณ์ปัจจุบัน  และความก้าวหน้าทางวิชาการในแต่ละสาขาวิชาชีพ  จึงเป็นการสนองความต้องการอย่างไม่มีที่สิ้นสุด  และห้องสมุดยังได้จัดหาทรัพยากรสารนิเทศที่ดีและใหม่ทันสมัยอยู่ตลอดเวลามา ไว้ให้บริการ  ผู้ใช้จึงได้ทั้งความรู้และมีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์  อีกทั้งยังสามารถติดตามข่าวความเคลื่อนไหวและเหตุการณ์ต่างๆ  ที่เกิดขึ้นทั้งในประเทศและนอกประเทศทั่วโลก
            5.3  เพื่อการค้นคว้าวิจัย  (Research)  ห้องสมุดเป็นสถานที่จัดเก็บทรัพยากรสารสนเทศประเภทสถิติ  รายงานการวิจัยและหนังสืออ้างอิง  เพื่อที่จะอำนวยความสะดวกต่อการค้นคว้าวิจัย ของนักวิจัยในสาขาต่าง ๆ  ซึ่งได้จัดหา  รวบรวมสารนิเทศที่เกี่ยวข้องกับโครงการ  โครงงาน  ผลการค้นคว้าวิจัยที่เกิดขึ้นใหม่  และสิ่งประดิษฐ์ทั้งหลายที่มีผู้จัดทำไว้แล้ว  ไว้สำหรับให้ผู้ที่สนใจ นักการศึกษา  นักวิจัยได้ศึกษาค้นคว้า  และส่งเสริมให้เกิดงานค้นคว้าวิจัยชิ้นใหม่ ๆ  เกิดความเจริญก้าวหน้าทางวิชาการในสาขาต่าง ๆ  เพื่อเป็นการเสริมสร้างความงอกงามทางด้านวิชาการต่อไป ในอนาคต
           
5.4  เพื่อให้เกิดความจรรโลงใจ  (Inspiration)   ทรัพยากรสารสนเทศในห้องสมุดนอกจาก  จะให้ความรู้ทางวิชาการแล้ว  ยังได้รวบรวมสะสมความรู้สึกนึกคิดที่สร้างสรรค์ความดีงาม  ซึ่งได้แก่  ทรัพยากรสารสนเทศประเภท  ปรัชญา  จิตวิทยา  ศิลปะ  ศาสนา  วรรณคดี  บทประพันธ์ต่างๆ  ชีวประวัติ  สารคดีท่องเที่ยว  ซึ่งเมื่อผู้อ่านได้อ่านแล้วจะทำให้เกิดความสุขทางใจ  เกิดความรู้สึก ชื่นชมและประทับใจในความคิดที่ดีงาม  เกิดความซาบซึ้งประทับใจในเรื่องราวที่อ่าน  มองเห็นคุณค่าของความดีงาม  ได้คติชีวิตจนสามารถยกระดับจิตใจและเกิดการพัฒนาตนเองไปในทางที่ดีมีความ สำเร็จในชีวิตอันเป็นประโยชน์ต่อบุคคลและสังคม
            5.5  เพื่อนันทนาการหรือพักผ่อนหย่อนใจ  (Recreation)  ทรัพยากรสารสนเทศในห้องสมุดนั้นนอกจากจะมีเนื้อหาทางด้านวิชาการแล้วยังมี หนังสือประเภทนวนิยาย  เรื่องสั้น  นิตยสาร  เพื่อให้ผู้อ่านได้รับความสนุกสนานเพลิดเพลิน  และห้องสมุดยังได้จัดหาสื่อที่เรียกว่า  Edutainment               (สื่อที่ให้ทั้งความรู้  ความคิด  การศึกษาด้านวิชาการ  และความบันเทิงไปพร้อม ๆ กัน)  เพื่อให้ผู้ใช้ห้องสมุดได้รับความสุข  ความเพลิดเพลินจากการอ่าน  การดูและการฟัง  เช่น  วีดิทัศน์  ฟังเพลง ดูหนังสารคดี  ดูการ์ตูน  ดูภาพล้อ  เป็นต้น
7. Digital Library ห้องสมุดบนเครือข่ายคอมพิวเตอร์
             Digital Library (ห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์)  หมายถึง  การจัดเก็บสารสนเทศในรูปของสื่ออิเล็กทรอนิกส์  แทนที่จะจัดเก็บในรูปของสื่อพิมพ์  ขณะนี้ได้เริ่มมีการใช้วิธีการเช่นนี้แล้ว  แต่คงต้องรออีกนานทีเดียวกว่าที่ห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์จะสามารถแทนที่ห้อง สมุดแบบดั้งเดิม หรือ แม้แต่เพียงจะสามารถมีบทบาทเทียบเคียง กับห้องสมุดแบบดั้งเดิม  ที่เป็นเช่นนี้เพราะมีเหตุผลหลายประการ  ประการแรก  สิ่งพิมพ์ที่มีอยู่แล้วมีเป็นจำนวนมาก  หากจะนำมาดิจิไทซ์  (digitize) หรือแปลงเป็นสารสนเทศแบบดิจิทัล  ก็ต้องลงทุนลงแรงมหาศาลประการที่สอง  ผู้ใช้สารสนเทศส่วนใหญ่ในยุคปัจจุบัน  ยังคุ้นเคยกับการอ่านหนังสือมากกว่าการอ่านจากจอคอมพิวเตอร์  แต่เรื่องนี้อาจเปลี่ยนแปลงได้  เมื่อคนรุ่นใหม่ที่คุ้นเคยกับการใช้คอมพิวเตอร์มีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ และพัฒนาการของจอคอมพิวเตอร์ทำให้อ่านได้สบายตามากขึ้น สามารถอ่านได้ครั้งละนานๆ มากขึ้น ประการที่สาม ปัญหาเรื่องลิขสิทธิ์ และวิธีการจัดการกับปัญหานี้  ในกรณีที่ต้องการแปลงสิ่งพิมพ์ที่มีอยู่เป็นสารสนเทศแบบดิจิทัลเพื่อนำออก เผยแพร่  ยังไม่มีกฎหมายหรือหลักการที่เป็นสากลว่าด้วยเรื่องนี้   หากยังต้องอาศัยการตกลงกันเองระหว่างคู่กรณีเป็นรายๆ ไป ก็จะเป็นอุปสรรคอย่างใหญ่หลวง  อย่างไรก็ตามการแปลงสิ่งพิมพ์เป็นสารสนเทศดิจิทัลนั้น  เป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องทำ  เพื่อการอนุรักษ์สิ่งพิมพ์เก่าๆไว้เอกสารที่เป็นกระดาษนั้น  หากจัดเก็บถูกวิธีอาจสามารถอยู่ได้นับพันปี  เช่น  เอกสารที่ทำด้วยกระดาษปาปิรัส สมัยอียิปต์หรือบาลิโลเนียยังมีหลงเหลือให้เห็นได้ตามพิพิธภัณฑ์ใหญ่ๆ  ของโลก  แต่ในความเป็นจริงแล้ว  หนังสือหรือเอกสารที่เป็นกระดาษจะมีอายุใช้งานเพียง  100 -  200 ปีเป็นอย่างมาก  ตัวอย่างเช่น  หนังสือเรื่อง  The Pilgrim Kamanita  ซึ่งเป็นต้นฉบับภาษาอังกฤษที่เสถียรโกศ  และนาคประทีป  นำมาแปลและเรียบเรียงเป็นฉบับภาษาไทย  ชื่อ กามนิต  วาสิฏฐี  นั้น ขณะนี้เหลืออยู่ที่  The British Museum ที่กรุงลอนดอนเพียงเล่มเดียวเท่านั้น  และอยู่ในสภาพถูกเก็บตาย  เพราะกระดาษกรอบหมดแล้ว นำมาเปิดอ่านไม่ได้ เอกสารทำนองนี้ยังมีอีกเป็นจำนวนมาก และต้องหาวิธีอนุรักษ์ไว้ให้ได้เพราะเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่มีคุณค่า  และบางอย่างเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญ วิธีอนุรักษ์วิธีหนึ่ง คือ การนำมากราดตรวจ  หรือ  ถ่ายภาพหน้าต่อหน้า แล้วบันทึกใส่ซีดีรอม  (CD-ROM) ไว้  อย่างไรก็ตามซีดีรอมเองก็ไม่ได้มีอายุยืนยาวมากมายนัก  เชื่อกันว่าสามารถจะเก็บได้นาน 30 – 50 ปี เท่านั้น  แต่ถ้ามีการทำสำเนาก่อนที่ซีดีรอมแผ่นนั้นจะหมดอายุ ก็สามารถเก็บไปได้ตลอด  เพราะการทำสำเนาข้อมูลดิจิทัลนั้นจะได้สำเนาที่มีคุณภาพเท่าต้นฉบับดิจิทัล ไม่มีการเสื่อมลงทุกครั้งที่ทำสำเนาเหมือนระบบอนาลอค  ดังนั้น ห้องสมุดดิจิทัลจะสามารถให้บริการเอกสารสิ่งพิมพ์ต่างๆ   ที่มีอายุมากๆได้
           รูปแบบของเอกสารที่จัดเก็บและให้บริการในห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์นั้น  ขณะนี้ยังถือว่าอยู่ในช่วงต้นของการพัฒนา  ซึ่งจะยังมีการเปลี่ยนแปลงไปได้  แม้ว่าจะเริ่มมีการวางมาตรฐานกันบ้างแล้วก็ตาม รูปแบบที่ได้รับการกล่าวขานกันมากที่สุดขณะนี้  คือ  อีบุ๊ค  (E-book)  หรือ หนังสืออิเล็กทรอนิกส์  กับ  อีเจอร์นัล  (E-journal) หรือ วารสารอิเล็กทรอนิกส์  และ  อีแมกกาซีน (E-magazine)  หรือนิตยสารอิเล็กทรอนิกส์  ความได้เปรียบของสื่ออิเล็กทรอนิกส์เหล่านี้เหนือ  สื่อสิ่งพิมพ์หลายประการ  ประการแรก  ต้นทุนในการจัดทำต่ำกว่า  ประการที่สอง  สามารถใช้สื่อประสม  (Multimedia)  มาประกอบได้  คือ  มีได้ทั้งภาพนิ่ง   ภาพเคลื่อนไหว   (ทั้งที่เป็นรูปวาด  รูปถ่าย  และวีดิทัศน์)  และเสียงด้วย ประการที่สาม  สามารถมี  การเชื่อมโยงข้อความหลายมิติ  (Hypertext)  เพื่ออธิบายขยายความ  หรือ  เพื่อขยายขนาดของภาพประกอบให้ใหญ่ขึ้นหรือชัดเจนขึ้น  ประการที่สี่  สามารถค้นหารายละเอียดคำสำคัญต่างๆโดยใช้วิธีการของ   โปรแกรมค้นหา  ( Search engine)  ซึ่งรวดเร็วทันใจ  และมีประสิทธิภาพสูงกว่าระบบดัชนี  (Index)  ของหนังสือ   ส่วนข้อเสียเปรียบที่สำคัญ  คือ  ต้องใช้คอมพิวเตอร์และใช้ไฟฟ้าในการเปิดอ่าน
            ห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์  ต่างกับห้องธรรมดาตรงที่ห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์  ไม่จำเป็นต้องมีอาคารสถานที่  เพียงแต่มี  คอมพิวเตอร์แม่ข่าย (Sever)  สำหรับเก็บข้อมูล  มีเครือข่าย (Network)  ต่อเชื่อมไปยังเครื่องคอมพิวเตอร์ลูกข่าย  (Clients)  ที่ให้บริการ ซึ่งอาจกระจายอยู่ตราที่ต่างๆ  ก็ได้  เครือข่ายนั้นจะเป็นเครือข่ายส่วนตัว  Private  Network  หรือ  Intranet) ที่ใช้ภายในองค์กรก็ได้  หรือจะเป็นเครือข่ายสาธารณะ   เช่น   อินเทอร์เน็ต
            ในต่างประเทศส่วนใหญ่  ห้องสมุดสาธารณะเป็นสิ่งที่พบเห็นได้ทั่วไป  ทุกท้องที่ระดับอำเภอซึ่งมีประชากรตั้งแต่  10,000  คนขั้นไป  จะมีห้องสมุดสาธารณะขององค์การปกครอง  ท้องถิ่น  แต่ในประเทศไทยห้องสมุดเช่นนี้จะมีตามเมืองใหญ่ๆ  ที่มีเทศบาลเมืองเป็นผู้รับผิดชอบเท่านั้น การใช้ห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์แทนห้องสมุดธรรมดา  จึงเป็นวิธีการหนึ่งที่จะทำให้เราสามารถกระจายบริการห้องสมุดสาธารณะออกไป ให้ทั่วถึงทุกอำเภอได้โดยลงทุนไม่มากนัก  เป็นการส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิตของประชาชนได้เป็นอย่างดี 




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น